Misleading of Lab Oil Analysis Report
ความผิดพลาดและปัญหาที่มาจากการใช้ข้อมูลผลทดสอบของนำ้มันจากห้อง Lab
- Oil Analysis Lab Report ผลทดสอบยากมาก ต่อการตีความหมาย วิเคราะห์ปัญหาอย่างถูกต้อง ผลทดสอบเขียนออกมาแบบให้ดูหรูหรา น่าทึม ดูดี ดูหวือหวา ซับซ้อน น่าเกรงขาม แต่ดูไม่เป็น อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่รู้สึกดีที่มีผล test oil analysis เลยกลายเป็นเครื่องลางของขลังเก็บไว้ขึ้นหิ้งให้อุ่นใจ เป็นการไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักด์สิทธิ์ ที่ทำกันไปเป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมา ไม่เชื่อแล้ว อย่าลบหลู่ ยังถูกขู่ให้กลัวอีกด้วยถ้าไม่ทำตาม เหมือนกับธุรกิจร่างทรง เป็นการเสียเงินที่ได้ประโยชน์กลับคืนมาน้อยมากเพราะเอามาใช้ไม่เป็น
- เจ้าหน้าที่ในห้อง Lab ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องจักรดีพอ ไม่เคยไปร่วมแก้ปัญหาหน้างาน จึงไม่สามารถแนะนำลูกค้าได้อย่างถูกต้อง เจ้าหน้าที่ในห้อง Lab ทำหน้าที่ใส่ นำ้มันตัวอย่างในอุปกรณ์ทดสอบแล้วอ่านค่าผลลัพท์ นำตัวเลขที่ได้มาใส่ข้อมูลผลทดสอบใน Data Base แล้วส่งผลอีเมล์ให้ลูกค้า นอกจากนี้แล้วก็หมดหน้าที่ ไม่รู้อะไรถึงผลที่เกิดในเครื่องจักรของลูกค้า ทำไม่เป็น
- ส่วนลูกค้าก็มีความรู้น้อย ไม่เข้าใจผลทดสอบนำ้มันที่ซับซ้อน ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจปัญหา ข้อมูลจากอเมริกาพบว่า การเรียนรู้ทางศาสตร์ของ Tribology นี้จะใช้เวลาถึง 7 ปีในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ให้เข้าในศาสตร์นี้ ไม่ใช่ไปเข้าอบรมเรียน 3-4 วัน แล้วจะคาดหวังให้มาเป็นผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญนี้ เป็นไปไม่ได้
- ผลทดสอบที่มาจากห้อง Lab ไม่แม่นยำผิดพลาดส่วนใหญ่ เนื่องจากวิธีสุ่มตัวอย่างนำ้มัน
- การ Calibration ของอุปกรณ์ในห้อง Lab ที่ขาดมาตราฐานที่ถูกต้อง จึงทำให้ผลทดสอบที่ออกมาไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น Lab Equipment ขาดเอกสาร ISO 17025 Certification ยืนยันให้เพราะราคาแพงมามาก และใช้เวลา 6-12 เดือนในการได้ ISO 17025 Certification นี้ จึงไม่มีใครอยากทำ
- ราคาค่า Calibration ของอุปกรณ์ในห้อง Lab ราคาแพงมาก และต้องส่งไปอเมริกาใช้เวลา 3 อาทิตย์ จึงไม่มีใครมักทำกัน ทำให้ผลลัพท์ค่าทดสอบนำ้มันออกมามีความคลาดเคลื่อน เอามาใช้อะไรไม่ได้ นอกเหนือจากผู้ใช้และผู้ทดสอบก็ไม่รู้จะเอาข้อมูลผลทดสอบมาใช้ในการวิเคราะห์เช่นกัน
- การส่งนำ้มันตัวอย่างไปทดสอบจึง นึกเป็นความเชื่อแบบเชื่อร่างทรง ไม่ได้วิเคราะห์ปัญหาได้ถูกต้องอย่างแท้จริง ด้วยศาสตร์ทาง Tribology ที่ถูกต้อง อุตสาหกรรมในอเมริกาเริ่มเรียนรู้จากอดีตแล้วกำลังพัตณาเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ On-Line Real Time Oil Monitoring System แทนที่จะใช้วิธีเก่าๆ ที่คอยให้พนักงานวิ่งตามเก็บนำ้มันตัวอย่าง ส่งไป Test ใน Lab ที่มีราคาแพงและให้ผลลัพธ์ตอบแทนน้อย เพียงใช้เป็นข้อมูลว่าได้ทดสอบแล้ว เก็บอยู่ในแฟ้ม เป็นกลวิธีการเพิ่มยอดขายที่แจ้งว่านำ้มันนี้สกปรกแล้ว ต้องเปลี่ยนถ่ายซื้อนำ้มันใหม่ และให้ส่งตัวอย่างนำ้มันมาทดสอบใหม่อีกภายใน 30 วัน เพื่อคอยตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้เกิดความกลัว กลัวความเสียหาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยต้องเชื่อร่างทรงที่ทำตัวเป็น Voice of Authority เสียเงินเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ ดังนั้นผลทดสอบนำ้มันยิ่งออกมาสกปรกมากและบ่อยเท่าไหร่ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นตามความกลัวที่เกิดขึ้น เป็นการใช้กลยุทธ์ร่างทรงในเชิงการตลาด ที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อลูกค้าขาดความรู้ที่แท้จริง Ignorance แล้วไม่รู้จะไปพึ่งใคร ขาดที่พึ่งทางใจนั่นเอง ดังนั้นลูกค้าจำเป็นต้องใช้วิจารณ์ญาณให้ดี อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ โดยเห็นเพียงผิวเผินภายนอก
ตัวอย่างของความคลาดเคลื่อนและความผิดพลาดจากผลสอบนำ้มันจากห้อง Lab
ผลตัวเลขบอกค่า Wear Element ICP เป็น ppm Part per million ระหว่าง 0.1 ถึง 6.7 ppm ซึ่งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับค่า Particle Count ที่ NAS 12 หรือ ISO Code 22/22/19 ที่แสดงตัวเลขนับกว่า 2 ล้าน counts (2,262,480) ที่ 5-15 microns จากค่า NAS แต่ จำนวน ppm อ่านได้แค่ 0.1 – 6.7 ตัวเลขระหว่างผลทดสอบจาก ICP กับ Particle Count ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
Particle Count NAS 12 บอกถึงความสกปรก ระดับสูงมากจนแทบจะเกินความเป็นจริง เพราะที่ระดับ NAS 12 เครื่องจักร Hydraulic นี้จะวิ่งไม่ได้ หรือ Shut Down พังไปแล้ว
อีกเหตุผลที่ทำให้เกิดตัวเลขผลทดสอบที่ขัดแย้งกันคือ ค่าที่วัดด้วย ICP-AES หรืออาจจะเป็นเทคโนโลยี่เก่าที่เรียกว่า Spectro Chemical Analysis วัดค่า Wear Elements ที่ขนาดหยาบมาก หรืออาจะอ่านได้ในระดับที่ 25-50 microns ขึ้นไป จึงทำให้ ICP-AES ไม่ได้อ่านค่าสิ่งสกปรกที่มีผลกับเครื่องจักรในเชิงวิเคราะห์ ที่จำเป็นต้องอ่านได้ในระดับตำ่กว่า 10 microns ลงไป ดังนั้นการใช้วิธีและเครื่องมือวัดเช่นนี้ จะไม่มีประโยชน์อะไรกับผู้ใช้ ทั้งๆ ที่เครื่อง ICP ควรจะสามารถอ่านค่า Wear Elements ได้ตำ่ถึงระดับ 7-8 microns อาจจะเป็นการ Set ค่า ICP ที่ไม่ถูกต้อง หรือการ Calibration หรือผู้ใช้เครื่องมือไม่เคยตรวจวัดอุปกรณ์ ไม่เหลี่ยวแล ใส่ใจในอุปกรณ์ มีแต่จะใช้อุปกรณ์ไปเรื่อย สิ่งเหล่านี้จึงมีผลทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดหลงเชื่อจากข้อมูลที่บกพร่อง ด้วยความไม่รู้ อวิชา ก็เลยเชื่อไปตามกัน ใช้ข้อมูลตัวเลขผลทดสอบเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายที่ไม่ถูกต้อง It’s the blind that leads the blind. ความบกพร่องเหล่านี้ลูกค้าหรือชาวบ้านทั่วไปจะมีปัญญาเข้าถึงประเด็นเหล่านี้ได้อย่างไร นอกจากเชื่อตามเลขหวยที่บอกกันมา
- ค่า Particle Count ISO Code 22/22/19 ไม่น่าจะเป็นค่าอ่านที่ถูกต้อง ค่าที่ระดับ 6 microns (ค่าตัวเลขตรงกลาง) ไม่ควรเป็น 22 จะต้องเป็นน้อยลงกว่า 22 ที่ลดหลันกันมา ควรจะเป็น 22/21/19 หรือ 22/20/19 บ่งบอกถึงประเด็นอาจจะมาจาก 2 ปัญหาคือ
- Sensor Calibration Problem การ Calibration เพี้ยน และไม่เคยส่งไป Recalibrate ในการทำ Sensor Calibration ตามมาตรฐาน ISO Standard ISO บังคับให้ใช้ ฝุ่นผงมาตราฐานที่เรียกว่า AC Fine Dust หรือ AC Coarse Dust มาใช้ Calibrate Particle Sensor เพื่อให้ค่าการอ่านวัดเป็นไปตาม Particle Size Distribution Curve ตามแนวของ AC Fine Dust Test ค่า Curve ที่อ่านจะเป็นค่าที่ลดหลันกันลงมาทั้งสามค่าระดับของ 4 microns/ 6 microns/ 16 microns
- Cross Contamination Problem นำ้มันที่ทดสอบก่อนหน้านี้ มีความสกปรกสูงสุด ดังนั้นความสกปรกได้ติดอยู่ใน Sensor ก่อนหน้านี้ แล้ว เจ้าหน้า Lab ไม่คิดจะล้าง Sensor การทดสอบแต่ละครั้ง ทำให้เกิด Cross Contamination ระหว่าง Sample ก่อนหน้านี้มาติดที่ Sample อันถัดไป นั่นเองทำให้ Particle Count อ่านที่ 22/22/19 ซึ่งไม่ตรงกับความสกปรกแท้จริงที่เกิดขึ้น กรรมวิธีการล้าง Sensor จะต้องใช้นำ้ยาล้าง 2 ชนิด Hexane หรือ Ether และ Alcohol มาตราฐาน Lab CAS # (ไม่ใช่ Alcohol ที่ซื้อมาจาก Big C) ล้างติดต่อกัน ชนิดละ 3 ครั้ง ซึ่งจะใช้เวลา 20-30 นาที ดังนั้นจึงไม่มีใครทำเพราะเสียเวลาและของแพง นี่คือสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ Particle Count อ่านค่าเพี้ยนไปจากความจริง
คำวิเคราะห์ก็เขียนแบบซำ้ๆ ที่ไม่ได้ชี้แนะหรือให้ข้อความที่มีความหมาย ผู้ใช้ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไร ดังนั้นการใช้ผลวิเคราะห์จากห้อง lab ทดสอบนำ้มัน จึงไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาเครื่องจักรได้
กลวิธีที่ผลทดสอบนำ้มันจากห้อง Lab ถูกนำมาอ้างอิงใช้อย่างผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ที่ได้มาจากความไม่รู้ของผู้ใช้นำ้มัน
บริษัทผู้ทดสอบนำ้มันจากห้อง Lab ขายและ สื่อสารให้ผู้ใช้เข้าใจว่า การทดสอบนำ้มันจะเป็นการตรวจสอบเพื่อให้ล่วงรู้ปัญหาของเครื่องจักร ก่อนความเสียหายจริงจะเกิดขึ้นตามมาไม่ช้าที่เรียกว่า Predictive Maintenance เปรียบเสมือนใช้ผลทดสอบนำ้มันเป็นหมอดูร่างทรงทายทัก พูดอะไรก็ต้องเชื่อ เก่งมีสามารถทำนายอนาคตของเครื่องจักร ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเร็วๆ นี้
บริษัทผู้ขายนำ้มันใช้กลยุทธ์สุมนำ้มันตัวอย่างให้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน (ถ้าเป็นลูกค้าประจำหรือรายใหญ่) เพื่อหวังว่านำ้มันสกปรก เจอปัญหาค่าสึกหรอ Wear Analysis หรือค่า Particle Count และปริมาณ Oil Additive ที่ลดลง ใช้สีแดงแสดงออกบนตัวเลขของผลทดสอบ ใช้ตัวเลขจากผลทดสอบ เป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ทำให้ผู้ใช้กังวล กลัวความเสียหายจะเกิด ตัวแทนขายของบริษัทนำ้มันก็ใช้โอกาสจากสถานการณ์นี้ ให้ลูกค้าต้องเปลี่ยนนำ้มัน เพิ่มยอดขาย การเปลี่ยนนำ้มันจึงไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา ในระยะยาว เหมือนหมอเลี้ยงไข้ แต่เป็นเพียงการผลักภาระยืดเวลาออกไปเท่านั้น
กลยุทธ์ที่ทั้งบริษัทขายนำ้มันและบริษัทผู้ทดสอบนำ้มันจากห้อง Lab ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบร่างทรง มาใช้กับอุตสาหกรรมนี้ โดยสร้างความเชื่อ ความศรัทธาขึ้นมา จากความศักดิ์สิทธิ์ของความใหญ่โตของบรืษัทนำ้มันและ ความเฮี้ยนจากตัวเลข ผลทดสอบของนำ้มันที่ผิดเพี้ยน ผู้ใช้อ่านไม่รู้เรื่อง ผลทดสอบนำ้มันจึงกลายเป็นเครื่องลางของขลัง อยู่บนหิ้งไว้บูชาให้เกิดบารมีความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใช้หลงเชื่ออย่างงมงาย แทนที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้อง ทาง Tribology เป็นสัจธรรมกับผู้ใช้ ทำให้ฉลาดขึ้นเข้าใจปัญหา เพื่อหาวิธีแนวป้องกันและแก้ไขที่ถูกต้อง
นี่ยังไม่รวมถึงผลประโยชน์ใต้เก้าอี้ส่วนบุคคลที่เจ้าหน้าที่ในโรงงานที่ได้รับอย่างลับๆ ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้ ผลลัพธ์ของนำ้มันและเครื่องจักรก็ยังเหมือนเดิม คือ Leaked Oil นำ้มันก็ยังรั่วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด เครื่องจักรก็ยังเสียหาย Maintenance Repair ซ่อมแซมมากขึ้น เครื่องจักรขาด Precision Performance ผลิตชิ้นงานได้ไม่ตรงกับ Tolerance ที่ตั้งไว้ ทำให้ชิ้นงานเกิด Defective Rate มากมายเกินคาด ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นตามตัวแบบควบคุมไม่ได้ เราจะเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้หายไป เกิดขึ้นกับเครื่องจักรเกือบทุกโรงงาน
แล้วอุตสาหกรรมไทยเราจะไปแข่งกับนานาชาติได้อย่างไร ถ้าคนเรายังยึดถือปฎิบัติกันตามวัฒนธรรมช่วยเหลือจุนเจือ ที่ไม่ถูกต้อง ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เข้ากับโลกปัจจุบัน เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าได้ ขอให้ท่านพิจารณาด้วย สติปัญญาและวิจารณญาณในแง่บวกของท่าน จะเห็นด้วยก็ได้ จะไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องธรรมดาของความเห็นที่แตกต่างกัน มีสติแยกเอาความเห็นที่แตกต่างมาพัฒนาแก้ไขปรับปรุงให้ผลงานดีขึ้น ท่านที่ไม่เห็นด้วยก็จะได้ประโยชน์จากความเห็นที่แตกต่างเหล่านี้
ความเข้าใจผิดในการเลือกใช้ Oil Filter
ในขณะที่ผู้ใช้เครื่องจักรขาดความรู้ที่แท้จริงทาง Tribology ในส่วนที่ไม่มีการป้องกันและไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ถูกต้องในการควบคุมความสกปรกของนำ้มัน Oil Contamination Control เช่นใช้ Oil Filter ผิดประเภทมาตลอด จะยกตัวอย่างที่เข้าใจผิดดังนี้
- ผู้ใช้อ้างว่าได้ติดตั้ง Oil Filter ขนาด 1 micron หรือ 3 microns ในระบบ Hydraulic system แล้ว นำ้มันไม่ควรจะสะอาดแล้วไม่มีปัญหาแน่นอน คำอธิบายให้เข้าใจผิดในข้อนี้คือ
- จุดติดตั้ง Oil Filter ในระบบ Hydraulic system จะมีเพียง 2 จุดเท่านั้น
- จุดแรกคือ ระหว่าง หลัง Hydraulic pump และ Valve Manifolds ในระบบซึ่งจะมี Oil Pressure สูงสุดถึง 3,000-5,000 psi ขึ้นอยู่กับขนาดกำลังของ Hydraulic นำ้มันจะต้องวิ่งผ่าน Filter นี้ที่เรียกว่า High Oil Pressure Filter จะตันไม่ได้ต้องมี Oil Flow ไหลผ่านตลอดอย่างสม่ำเสมอและ มี Oil Pressure Drop สูงสุดอยู่ได้ไม่เกิน 0.1 ถึง 0.3 psi เท่านั้น
- การใช้ Oil Filter ขนาด 1-3 microns จะไปอุดตันการไหลทันที ทำให้นำ้มัน Hydraulic oil ไม่สามารถไหลไปตามอุปกรณ์ต่างด้วย Flow Rate และ Differential Oil Pressure ที่กำหนดไว้ในระบบ เครื่องจักรก็จะไม่สามารถทำงานตามที่ถูกสร้าง ถูกกำหนดไว้ได้ ทำให้สินค้าเสียหายบกพร่อง Defective ตามมาทันที ดังนี้การอ้างว่ามีการใช้ Oil Filter ขนาด 1 micron หรือ 3 microns จึงเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นความจริง ทำไม่ได้ เครื่องจักรจะหยุดทำงานทันทีอย่างอัตโนมัต เพราะ Pressure Differential Sensor shuts down the machine.
- การใช้ High Pressure Oil Filter จะต้องใช้ถูกชนิด ถูกประเภท มี Pressure Rating ที่ 3,000 psi หรือ 4,000 psi หรือ 5,000 psi ตามขนาดกำลังของเครื่องจักร ไม่งั้นจะใช้ไม่ได้ แล้วขนาดทั่วไปของ High Pressure Oil Filter จะอยู่ที่ 25-50 microns ในระดับ Nominal Value Filter ชึ่งหมายถึง Filter นี้จะสามารถกรองได้จริงที่ 50-75 micron ในระดับ Absolute Value Filter เท่านั้นถ้าละเอียดกว่านี้จะใช้ไม่ได้ จะมีผู้ใช้กี่รายที่เข้าใจการเลือกซื้อ Oil Filter ที่ถูกประเภท เข้าใจค่า Absolute Value Rating และ Nominal Value Rating ของ Filter, อ่านค่า Beta Ratio ของ Oil Filter, เข้าใจถึง Filtration Efficiency Rating และขนาดความจุของ Dirt Holding Capacity in milligrams per gram ของ Filter เรื่องความรู้ ความเข้าใจ Filtration Technology เหล่านี้คนขายและวิศวกรช่วยเหลือ ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจอีกด้วย จึงขายๆ มันตามเอกสาร Brochure มั่วๆ ไป ผู้ใช้ยิ่งไม่รู้เท่าไรก็ยิ่ง มั่วให้ได้ยอดขายได้ง่ายยิ่งขึ้น
- High Pressure Oil Filter จะต้องมีความสามารถในการรับ แรงกระชาก แรงกระตุก แรงกระแทกที่เรียกว่า Oil Pressure Surge อย่างฉับพลันอย่างมหาศาลในเวลาเสี้ยววินาทีอีกด้วย Oil Pressure Surge นี้เกิดมาจากการเปลี่ยนถ่ายพลังงานของ Hydraulic Filter ในระบบที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทุกๆ นาที ดังนั้น High Oil Pressure ไม่ใช่ตัวสร้างปัญหาบน Oil Filter แต่แรงกระชาก แรงกระตุก Oil Pressure Surge ต่างหากที่เป็นตัวไปเขย่า กระฉากให้สิ่งสกปรกที่ได้ติดอยู่บนผิวเนื้อกระดาษของ Filter หลุดออก ทะลุทะลวงไหลผ่านร่องรอด ตระแกรงของเนื้อ Filter ที่เรียก Dirt Migration หรือการ Dirt Blow By ทะลุออกไป ดังนั้น Oil Pressure Surge จึงเป็นสำคัญที่ทำให้ Oil Filter ไม่สามารถกรองสิ่งสกปรกหรือ Dirt ที่แท้จริงออกจากนำ้มัน ดังที่ได้ประกาศแจ้งไว้หรือใน Brochure ความจริงมันไม่เกิดตามที่ Specification เขียนไว้ นี่คือเหตุที่เครื่องจักรก็ยังคงเสียหายซ่อมบำรุงอยู่บ่อยๆ และจะแย่ขึ้นเรื่อยๆ ตามมา ถ้าทำถูกต้องแล้วปัญหาเหล่านี้ไม่ควรจะเกิด ปัญหาเครื่องจักรจะต้องลดน้อยลงกว่า 80% จากเดิมขึ้นไป
- จุดที่สองคือ Return Line ของระบบ Hydraulic system นำ้มันไหลกลับไปสู่ถังนำ้มันใน Oil Reservoir เมื่อปั้มดูดนำ้มันจากถัง Oil Reservoir อัดผ่านอุปกรณ์ต่าง Valve Manifolds, Servo Valve, Proportional Valve, Cylinder ต่างๆ ตาม Hydraulic cycle นำ้มันก็ไหลกลับคืนไหลไปสู่ถังนำ้มัน Return Line Oil Filter จะถูกติดตั้งในจุดสุดท้ายก่อนกลับคืนสู่ถังนำ้มัน ที่จุดนี้จะมี Pressure Regulating Valve ติดอยู่ด้วยเพื่อกัน Back Flow การไหลกลับ
- การใช้ Oil Filter ขนาด 1-3 microns จะไปอุดตันการไหลกลับคืนถังนำ้มันที่ต้องหล่นลงมาด้วยบรรยากาศโลก เมื่อ Oil Filter ขนาด 1-3 microns จะถูกอุดตันได้ง่าย หรือ High Oil Pressure Drop จะทำให้ Pressure Regulating Valve เปิดเพื่อป้องกันการไหลกลับ ดังนั้นนำ้มันก็จะไม่ยอมไหลผ่าน Oil Filter และจะไหลอ้อมผ่าน By-pass Pressure Regulating Valve นำ้มันในถังก็จะไม่ถูกกรองอย่างเข้าใจไว้ ทุกครั้งที่มีการสุมตัวอย่างออกม่า จะไม่เห็นความสะอาดเกิดขึ้นในนำ้มันในถัง
- Oil Filter ขนาด 1-3 microns ผิดประเภท Oil Filter ขนาดตำ่สุดที่ทำได้คือ Oil Filter ขนาด 6 microns ถ้าละเอียดกว่านี้ Oil Flow กว่า 90% วิ่งอ้อมออกทาง By-Pass Pressure Regulating Valve นำ้มันก็ไม่ถูกกรองอย่างที่คาดไว้
- การใช้ Oil Filter ขนาด 6 microns ที่ใช้วัสดุที่ทำมาจากพลาสติกเช่น Polyester, Rayon, Nylon ดังนั้น Friction บนผิวฟิล์เตอร์ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ Electrostatic ในนำ้มัน เกิดปัญหาซ่อนเร้น Concurring Oil Oxidation หรือ Auto Oxidation ในนำ้มันเกิดความเป็นกรดสูงขึ้น TAN Total Acid Number เกิดปัญหายางเหนียว Oxidation By-products, Oil Additive Depletion เกิดความเสียหายกับเครื่องจักร และทำให้นำ้มันที่ใช้อยู่มีอายุสั้นลงอย่างรวดเร็ว ต้นตอปัญหา Oil Oxidation ที่ซ่อนเร้นสืบเนื่องมาจาก Oil Filter เหล่านี้นั้นเองซึ่ง ผู้ใช้ไม่เคยมีความรู้ และคาดไม่ถึงว่าปัญหาจะมีต้นตอมาจาก Low Micron Oil Filter ที่ใช้อยู่นั่นเอง
- จุดแรกคือ ระหว่าง หลัง Hydraulic pump และ Valve Manifolds ในระบบซึ่งจะมี Oil Pressure สูงสุดถึง 3,000-5,000 psi ขึ้นอยู่กับขนาดกำลังของ Hydraulic นำ้มันจะต้องวิ่งผ่าน Filter นี้ที่เรียกว่า High Oil Pressure Filter จะตันไม่ได้ต้องมี Oil Flow ไหลผ่านตลอดอย่างสม่ำเสมอและ มี Oil Pressure Drop สูงสุดอยู่ได้ไม่เกิน 0.1 ถึง 0.3 psi เท่านั้น
- จุดติดตั้ง Oil Filter ในระบบ Hydraulic system จะมีเพียง 2 จุดเท่านั้น
- ผู้ใช้อ้างว่าได้ติดตั้ง Oil Filter ขนาด 3 microns ในระบบ Gear Box ที่ใช้นำ้มันเกียร์ที่มี Viscosity เกิน ISO 220 Grade นั้นเป็นไปไม่ได้ดังนี้
- นำ้มันเกียร์ที่มี Viscosity เกิน ISO 220 จะไม่สามารถใช้ Oil Filter ขนาดตำ่ว่า 75-100 microns ได้ Oil Filter จะตันทันที จะทำให้มีนำ้มันไหล Flow Rate ไปหล่อลื่นเกียร์ได้เพียงพอ เกิดความเสียหายกับเฟืองเกียร์และ Bearing เพราะเกิดปัญหา Over Oil Pressure Drop Cross the the filter media
- ถ้าผู้ใช้ยังอัางว่าสามารถใช้ Low Micron Oil Filter ได้ก็แสดงว่าผู้ใช้ใส่ Oil Heater เข้าไปเพื่อเพิ่มอุณหภูมินำ้มันให้เกิน 85 °C เพื่อลดความหนืด Oil Viscosity เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น นำ้มันที่อุณหภูมิสูงเกิน จะทำให้เกิดปฎิกิริยา Oil Oxidation และ Oil Acidity ขึ้นมาอย่างมากมาย นำ้มันก็จะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้มักจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในความรู้เรื่องนี้ และผู้ขายฟิลเตอร์และผู้ขายนำ้มันก็ไม่รู้ ไม่สนใจ มัวคิดแต่จะขายหาเงินอย่างเดียว
- Oil Filter ที่สามารถกรองได้ตำ่กว่าระดับ 10 micron ลงไปจะต้องทำมาจากพลาสติกวัสดุที่เป็น Polyester, Rayon, Nylon เท่านั้น จะใช้เนื้อกระดาษที่มาจากเปลือกไม้หรือ Cellulose ไม่ได้ วัสดุที่ทำจาก Cellulose จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ Electrostatic Charge ในนำ้มัน แต่ไม่สามารถจัดหา Low Micron Rating ได้ตามต้องการ
- การเลือกใช้ Oil Filter ผู้ใช้จำเป็นต้องเรียกถามข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาในการเลือก Oil Filter ที่ถูกต้องจากผู้ขายโดยพิจารณาข้อมูลดังนี้
- Absolute Value Rating ของ Filter ควรเลือกใช้ตั้งแต่ 6-15 micron ขึ้นไป สำหรับ Hydraulic system
- Nominal Value Rating ของ Filter ควรเลือกใช้ตั้งแต่ 25-25 micron ขึ้นไป สำหรับ Lube oil system
- Beta Ratio ของ Oil Filter ควรเลือกใช้ตั้งแต่ ß6 @6 micron = 75-1,000 ขึ้นไป
- Filtration Efficiency Rating ควรเลือกใช้ตั้งแต่ 90% ขึ้นไป
- Dirt Holding Capacity ควรเลือกใช้ตั้งแต่ 300-800 milligrams per gram
- ชนิดของ Oil Filter Material ที่ใช้ทำมาจากวัสดุอะไรเช่น Polyester, Nylon, Rayon, Cellulose, Microfiber, Micro Glass แล้วเลือกใช้ให้ถูกประเภท ตามชนิด Flow Rate ที่มีใน Specifications ของเครื่องจักรเพื่อหลบหลีกปัญหาต่างๆ ที่ได้อธิบายอยู่ข้างต้น
© Copyright, August , 2021 เอกสารและข้อมูลในเว็บไซต์นี้มีลิขสิทธ์ ห้ามนำไปเผยแพร่หรือสื่อสารโดยมิได้รับอนุญาตจาก OilPure